องค์การเสมือนจริง (Virtual Organization)
เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจุบันได้มีปรากฏการณ์ร่วมสมัยกับองค์กรเสมือนจริงเกิดขึ้นมากมาย เช่น ชั้นเรียนเสมือนจริง (virtual classroom), ทีมงานเสมือนจริง (virtual team), ทัวร์เสมือนจริง (virtual tour) เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดจากแนวคิดเรื่องความจริงเสมือน (Virtual Reality) ซึ่งเป็นคุณสมบัติของระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการสร้างโลกจำลองขึ้นมาให้เป็นระบบที่เสมือนจริง
แนวคิดเรื่องความจริงเสมือน (Virtual Reality)
ความจริงเสมือน หรือความจริงซึ่งสร้างจำลองโดยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นความจริงที่มนุษย์สร้างขึ้นในลักษณะสามมิติ เพื่อเลียนแบบความจริงด้านกายภาพ (physical reality) เช่น การสร้างแบบจำลองของบ้านในลักษณะสามมิติโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
ความหมายขององค์การเสมือนจริง
องค์กรเสมือนจริง คือ เครือข่ายขององค์กรซึ่งเชื่อมโยงด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะแลกเปลี่ยนทักษะ ทรัพยากร และสินค้าบริการ
ลักษณะขององค์กรเสมือนจริง
Ø ใช้ในการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ไม่จำกัดระยะเวลา หรือสถานที่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น Internet, Intranet, Extranet
Ø เครือข่าย Computer จะเชื่อมโยงคนหรือเครื่องจักรเข้าด้วยกัน กลายเป็นสังคม หรือชุมชนมีโครงสร้างแบบเครือข่าย (Network structure)
Ø เครือข่าย Computer จะเชื่อมโยงคนหรือเครื่องจักรเข้าด้วยกัน กลายเป็นสังคม หรือชุมชนมีโครงสร้างแบบเครือข่าย (Network structure)
Ø การติดต่อทางสังคมมีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์น้อยกว่าชุมชนแบบดั้งเดิม และมีความหลากหลายทางด้าน อายุ, เพศ, เชื้อชาติ, และฐานะทางสังคม
Ø ชุมชนหรือเครือข่ายร่วมมือกันหรือเป็นพันธมิตรกันเพื่อดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
Ø Virtual Organization ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ และเวลา การปฏิบัติงานในองค์กร นอกจากนี้ Virtual Organization อาจจะมีการจ้างบุคคลภายนอก และกลยุทธ์การสร้างพันธมิตรระหว่างองค์กรมาใช้
Ø Virtual Organization ต้องการความไว้วางใจที่สูงกว่าองค์กรแบบเดิม
Ø สมาชิกในองค์กรต้องมีความไว้วางใจกันในงานที่ได้รับมอบหมาย
Ø การปฏิบัติงานของสมาชิกองค์กร มีความเป็นอิสระมากขึ้นเพราะสายบังคับบัญชาไม่ชัดเจน
Ø การทำงานขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของสมาชิก
Ø องค์กรเสมือนจริงใช้ความร่วมมือระหว่างองค์กรเป็นลักษณะเครือข่าย
Ø การปฏิบัติโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยไม่คำนึงถึงสถานที่ตั้ง
สาเหตุของการเกิดองค์กรเสมือนจริง
1. การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
2. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ
3. ลูกค้า
4. คนทำงาน
เปรียบเทียบองค์กรเสมือนจริงกับองค์กรแบบดั้งเดิม
ลักษณะ | องค์กรแบบดั้งเดิม | องค์กรเสมือนจริง |
โครงสร้าง | มีความเป็นทางการสูง | มีความไม่เป็นทางการสูง |
โครงสร้างเน้นสายบังคับบัญชา | โครงสร้างแบบเครือข่าย | |
โครงสร้างตายตัว | โครงสร้างหลวม | |
การบริหารงาน | มีขอบเขตชัดเจน | ขอบเขตไม่ชัดเจน |
เน้นการควบคุม | การมีส่วนร่วม | |
รวมศูนย์อำนาจ | กระจายอำนาย | |
ทำงานโดยเน้นตัวบุคคล | ทำงานโดยอาศัยทีมงาน |
ประโยชน์ขององค์กรเสมือนจริง
1. องค์การ
ü เสริมสร้างให้ธุรกิจขนาดเล็กใช้ทรัพยากรในเครือข่ายเพื่อแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้
ü ทำให้องค์กรสามารถสร้างความชำนาญเฉพาะด้านที่ตนเองเชี่ยวชาญให้มีความโดดเด่นได้
2. ผลผลิต
ü ช่วยปรับปรุงผลผลิต ให้มีคุณภาพและรวดเร็วขึ้น
ü ลดเวลาการผลิตสู่ตลาด เพิ่มอัตราการขยายตัวของสินค้าในตลาด
3. คนทำงาน
ü เพิ่มความสำคัญของมนุษย์มากขึ้น เปิดโอกาสให้คนทำงานโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
ü เปิดโอกาสให้คนทำงานแลกเปลี่ยนความรู้ ทักษะและประสบการณ์จากหลาย ๆ แห่งได้
4. ระยะทาง
ü ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน
ü ประหยัดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทาง
5. สถานที่ตั้ง
ü ลดปัญหาความเสียหายด้านกายภาพ เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว, น้ำท่วม, การประท้วงต่าง ๆ
ü ลดต้นทุนการใช้พื้นที่ของสถานที่ทำงาน
ü ทำให้คนงานมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
ข้อจำกัดขององค์กรเสมือนจริง
1. ด้านสังคม
ü ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและผู้บริหาร พนักงานกับพนักงานจะมีน้อยลง
ü เส้นแบ่งของชีวิตการทำงานและชีวิตที่บ้านจะไม่ชัดเจน อาจจะทำให้ระดับความเครียดเพิ่มขึ้น
2. ความผูกพันกับองค์การ
ü หากไม่มีการปรับปรุงความสัมพันธ์ในการจ้างงาน พนักงานที่มีความรู้และคุณค่าต่อองค์กรจะมีความรู้สึกผูกพันกับองค์กรน้อยลง ดังนั้น อัตราการเข้า-ออกจึงอาจจะมีสูง
รีอินจีเนียริ่ง Re engineering
รีอินจีเนียริ่ง (Re engineering) คือ การทบทวนความคิดพื้นฐาน และการออกแบบกระบวนการทำงานใหม่โดยสิ้นเชิง เพื่อให้บรรลุผลการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ในผลงาน เช่น ต้นทุน, คุณภาพ, บริการ, และความเร็ว (Hammer & Champy, 1993)
หลักการของ Re engineering
ü การคิดใหม่จากพื้นฐาน
ü การออกแบบใหม่อย่างถอนรากถอนโคน
ü การปรับปรุงที่ส่งผลอย่างใหญ่หลวง
ü เน้นการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน
เหตุผลในการทำ Re engineering
1. ลูกค้า
Ø มีความรู้ความเข้าใจในสินค้า/บริการมากขึ้น
Ø มีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลง่ายขึ้น
Ø มีพลังในการต่อรองมากขึ้น
2. การแข่งขัน
Ø มีความรุนแรงมากขึ้น, มีรูปแบบที่หลากหลายขึ้น
Ø มีการนำเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์การผลิตสินค้า/บริการมากขึ้น
Ø มีการบุกรุกจากคู่แข่งต่างชาติมากขึ้น
องค์ประกอบของ Re engineering
1. การออกแบบใหม่ (Redesign)
Ø เน้นการปรับปรุงลักษณะปรับปรุงทั้งกระบวนการ
Ø อาจนำเทคนิค One Stop Service เพื่อให้ขั้นตอนการทำงานสั้นลง
Ø อาจมีการปรับรื้อระเบียบ, กฎเกณฑ์,โครงสร้างองค์กรแบบเดิม
2. เครื่องมือ (Retool)
Ø มีการนำ IT / IS เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการทำ RE
Ø มีการนำ IT / IS มาเป็นตัวสนับสนุนเพื่อสร้างวิธีการทำงานใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
3. การปรับปรุงการทำงานใหม่ (Re orchestrate)
การปรับปรุงการทำงาน Re engineering มี 2 ระดับคือ
Ø การเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร ทุกกระบวนการในการทำงาน
Ø การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการ คือ เลือกเฉพาะบางกระบวนการที่มีความสำคัญต่อการทำงาน หรือทางด้านการแข่งขัน, การสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า เป็นต้น
ข้อดีของ Re engineering
ü ปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ในการทำงานทั้งหมด โดยไม่ยึดติดกับระบบการทำงานแบบเดิม
ü มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ
ü เจ้าหน้าที่/พนักงาน ทำงานได้เป็นอิสระมากขึ้น
ü มีการนำ IT/IS มาใช้ในการปรังปรุงงาน
ü เป็นวิธีปรับปรุงที่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการเป็นสำคัญ
ข้อจำกัดของ Re engineering
ü RE ละเลยเรื่องคนในองค์กร ทำให้พนักงานขาดขวัญ และกำลังใจในการทำงาน
ü ขาดการนำเรื่องวัฒนธรรมองค์การมาพิจารณาในการปรับปรุงงาน
ü การทำ RE เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จโดยฉับพลัน และยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง
ü มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงจากระดับสูงลงมา ขาดการมีส่วนร่วมจากระดับล่าง ทำให้พันธะผูกพัน การเปลี่ยนแปลงมีน้อย
การจัดการความรู้ (Knowledge Management)
ในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ ฐานความรู้ถือเป็นทรัพย์สินที่มีความสำคัญขององค์การ การแข่งขันด้านธุรกิจต้องอาศัยความรู้ในด้านกระบวนการต่าง ๆ ดังนั้น ทฤษฎีการจัดการบางทฤษฎีจึงเชื่อว่า ทรัพย์สินทางความรู้มีความสำคัญต่อการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความอยู่รอดขององค์การมากกว่าทรัพย์สินทางกายภาพและทรัพย์สินทางการเงิน (Laudon, Laudon, 2002)
ความรู้ คือ สารสนเทศที่มีคุณค่ามากที่สุด เพราะเป็นสารสนเทศที่ผสมผสานเข้ากับประสบการณ์ วิจารณญาณ และปัญญาของคนเข้าไปด้วย
การจัดการความรู้ คือ กระบวนการที่สำคัญในการสร้าง จัดระบบ และถ่ายทอดความรู้อย่างทั่วถึงภายในองค์กร เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากขึ้น
องค์ประกอบของ Knowledge Management มีดังนี้
Ø การสร้างความรู้
Ø การจัดระบบความรู้
Ø การถ่ายทอดความรู้
การสร้างความรู้ คือ การแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร โดยผ่านกลไก การเรียนรู้ อาทิ การวิจัยและพัฒนา การร่วมกันแก้ไขปัญหา, การพัฒนาเครือข่าย, หรือการพัฒนาผ่านเครือข่ายเป็นต้น
การจัดระบบความรู้ เมื่อความรู้ได้สร้างขึ้นแล้ว จะมีกระบวนการต่อเนื่องในการจัดระบบความรู้ รวมถึงการแสดงความรู้ในลักษณะที่ง่ายต่อการเข้าถึงหรือถ่ายโอน
การถ่ายทอดความรู้ คือ การนำความรู้ที่มีอยู่ถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่น หรือหน่วยงานอื่น เช่นการใช้เครือข่ายในองค์กร หรือการใช้ซอร์ฟแวร์สำหรับทำงานเป็นกลุ่ม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น