วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

สรุป เรื่อง องค์การเสมือนจริง (Virtual Organization), รีอินจีเนียริ่ง Re engineering, การจัดการความรู้ (Knowledge Management)

องค์การเสมือนจริง  (Virtual Organization)
เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจุบันได้มีปรากฏการณ์ร่วมสมัยกับองค์กรเสมือนจริงเกิดขึ้นมากมาย เช่น ชั้นเรียนเสมือนจริง (virtual classroom), ทีมงานเสมือนจริง (virtual team), ทัวร์เสมือนจริง (virtual tour) เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดจากแนวคิดเรื่องความจริงเสมือน (Virtual Reality) ซึ่งเป็นคุณสมบัติของระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการสร้างโลกจำลองขึ้นมาให้เป็นระบบที่เสมือนจริง
แนวคิดเรื่องความจริงเสมือน (Virtual Reality)
ความจริงเสมือน หรือความจริงซึ่งสร้างจำลองโดยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นความจริงที่มนุษย์สร้างขึ้นในลักษณะสามมิติ เพื่อเลียนแบบความจริงด้านกายภาพ (physical reality) เช่น การสร้างแบบจำลองของบ้านในลักษณะสามมิติโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
ความหมายขององค์การเสมือนจริง
องค์กรเสมือนจริง คือ เครือข่ายขององค์กรซึ่งเชื่อมโยงด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะแลกเปลี่ยนทักษะ ทรัพยากร และสินค้าบริการ
ลักษณะขององค์กรเสมือนจริง
Ø ใช้ในการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ไม่จำกัดระยะเวลา หรือสถานที่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น Internet, Intranet, Extranet
Ø เครือข่าย Computer จะเชื่อมโยงคนหรือเครื่องจักรเข้าด้วยกัน กลายเป็นสังคม หรือชุมชนมีโครงสร้างแบบเครือข่าย (Network structure)
Ø เครือข่าย Computer จะเชื่อมโยงคนหรือเครื่องจักรเข้าด้วยกัน กลายเป็นสังคม หรือชุมชนมีโครงสร้างแบบเครือข่าย (Network structure)
Ø การติดต่อทางสังคมมีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์น้อยกว่าชุมชนแบบดั้งเดิม และมีความหลากหลายทางด้าน อายุ, เพศ, เชื้อชาติ, และฐานะทางสังคม
Ø ชุมชนหรือเครือข่ายร่วมมือกันหรือเป็นพันธมิตรกันเพื่อดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
Ø Virtual Organization ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ และเวลา การปฏิบัติงานในองค์กร นอกจากนี้ Virtual Organization อาจจะมีการจ้างบุคคลภายนอก และกลยุทธ์การสร้างพันธมิตรระหว่างองค์กรมาใช้
Ø Virtual Organization ต้องการความไว้วางใจที่สูงกว่าองค์กรแบบเดิม
Ø สมาชิกในองค์กรต้องมีความไว้วางใจกันในงานที่ได้รับมอบหมาย
Ø การปฏิบัติงานของสมาชิกองค์กร มีความเป็นอิสระมากขึ้นเพราะสายบังคับบัญชาไม่ชัดเจน
Ø การทำงานขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของสมาชิก
Ø องค์กรเสมือนจริงใช้ความร่วมมือระหว่างองค์กรเป็นลักษณะเครือข่าย
Ø การปฏิบัติโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยไม่คำนึงถึงสถานที่ตั้ง
สาเหตุของการเกิดองค์กรเสมือนจริง
1. การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
2. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ
3. ลูกค้า
4. คนทำงาน
เปรียบเทียบองค์กรเสมือนจริงกับองค์กรแบบดั้งเดิม

ลักษณะ
องค์กรแบบดั้งเดิม
องค์กรเสมือนจริง
โครงสร้าง
มีความเป็นทางการสูง
มีความไม่เป็นทางการสูง
โครงสร้างเน้นสายบังคับบัญชา
โครงสร้างแบบเครือข่าย
โครงสร้างตายตัว
โครงสร้างหลวม
การบริหารงาน
มีขอบเขตชัดเจน
ขอบเขตไม่ชัดเจน
เน้นการควบคุม
การมีส่วนร่วม
รวมศูนย์อำนาจ
กระจายอำนาย
ทำงานโดยเน้นตัวบุคคล
ทำงานโดยอาศัยทีมงาน


ประโยชน์ขององค์กรเสมือนจริง
1. องค์การ
ü เสริมสร้างให้ธุรกิจขนาดเล็กใช้ทรัพยากรในเครือข่ายเพื่อแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้
ü ทำให้องค์กรสามารถสร้างความชำนาญเฉพาะด้านที่ตนเองเชี่ยวชาญให้มีความโดดเด่นได้
2.  ผลผลิต
ü ช่วยปรับปรุงผลผลิต ให้มีคุณภาพและรวดเร็วขึ้น
ü ลดเวลาการผลิตสู่ตลาด เพิ่มอัตราการขยายตัวของสินค้าในตลาด
3. คนทำงาน
ü เพิ่มความสำคัญของมนุษย์มากขึ้น เปิดโอกาสให้คนทำงานโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
ü เปิดโอกาสให้คนทำงานแลกเปลี่ยนความรู้ ทักษะและประสบการณ์จากหลาย ๆ แห่งได้
4.  ระยะทาง
ü ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน
ü ประหยัดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทาง
5. สถานที่ตั้ง
ü ลดปัญหาความเสียหายด้านกายภาพ เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว, น้ำท่วม, การประท้วงต่าง ๆ
ü ลดต้นทุนการใช้พื้นที่ของสถานที่ทำงาน
ü ทำให้คนงานมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
ข้อจำกัดขององค์กรเสมือนจริง
1. ด้านสังคม
ü ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและผู้บริหาร พนักงานกับพนักงานจะมีน้อยลง
ü เส้นแบ่งของชีวิตการทำงานและชีวิตที่บ้านจะไม่ชัดเจน อาจจะทำให้ระดับความเครียดเพิ่มขึ้น
2. ความผูกพันกับองค์การ
ü หากไม่มีการปรับปรุงความสัมพันธ์ในการจ้างงาน พนักงานที่มีความรู้และคุณค่าต่อองค์กรจะมีความรู้สึกผูกพันกับองค์กรน้อยลง ดังนั้น อัตราการเข้า-ออกจึงอาจจะมีสูง


รีอินจีเนียริ่ง  Re engineering
รีอินจีเนียริ่ง (Re engineering) คือ การทบทวนความคิดพื้นฐาน และการออกแบบกระบวนการทำงานใหม่โดยสิ้นเชิง เพื่อให้บรรลุผลการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ในผลงาน เช่น ต้นทุน, คุณภาพ, บริการ, และความเร็ว (Hammer & Champy, 1993)

หลักการของ Re engineering
ü การคิดใหม่จากพื้นฐาน
ü การออกแบบใหม่อย่างถอนรากถอนโคน
ü การปรับปรุงที่ส่งผลอย่างใหญ่หลวง
ü เน้นการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน
เหตุผลในการทำ Re engineering
1.              ลูกค้า
Ø  มีความรู้ความเข้าใจในสินค้า/บริการมากขึ้น
Ø  มีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลง่ายขึ้น
Ø  มีพลังในการต่อรองมากขึ้น
2.              การแข่งขัน
Ø  มีความรุนแรงมากขึ้น, มีรูปแบบที่หลากหลายขึ้น
Ø  มีการนำเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์การผลิตสินค้า/บริการมากขึ้น
Ø  มีการบุกรุกจากคู่แข่งต่างชาติมากขึ้น
องค์ประกอบของ Re engineering
1.              การออกแบบใหม่ (Redesign)
Ø  เน้นการปรับปรุงลักษณะปรับปรุงทั้งกระบวนการ
Ø  อาจนำเทคนิค One Stop Service เพื่อให้ขั้นตอนการทำงานสั้นลง
Ø  อาจมีการปรับรื้อระเบียบ, กฎเกณฑ์,โครงสร้างองค์กรแบบเดิม
2.              เครื่องมือ (Retool)
Ø  มีการนำ IT / IS เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการทำ RE
Ø  มีการนำ IT / IS มาเป็นตัวสนับสนุนเพื่อสร้างวิธีการทำงานใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
3.              การปรับปรุงการทำงานใหม่ (Re orchestrate)
         การปรับปรุงการทำงาน Re engineering มี 2 ระดับคือ
Ø  การเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร ทุกกระบวนการในการทำงาน
Ø  การเปลี่ยนแปลงในกระบวนการ คือ เลือกเฉพาะบางกระบวนการที่มีความสำคัญต่อการทำงาน หรือทางด้านการแข่งขัน, การสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า เป็นต้น
ข้อดีของ Re engineering
ü ปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ในการทำงานทั้งหมด โดยไม่ยึดติดกับระบบการทำงานแบบเดิม
ü มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ
ü เจ้าหน้าที่/พนักงาน ทำงานได้เป็นอิสระมากขึ้น
ü มีการนำ IT/IS มาใช้ในการปรังปรุงงาน
ü เป็นวิธีปรับปรุงที่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการเป็นสำคัญ
ข้อจำกัดของ Re engineering
ü RE ละเลยเรื่องคนในองค์กร ทำให้พนักงานขาดขวัญ และกำลังใจในการทำงาน
ü ขาดการนำเรื่องวัฒนธรรมองค์การมาพิจารณาในการปรับปรุงงาน
ü การทำ RE เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จโดยฉับพลัน และยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง
ü มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงจากระดับสูงลงมา ขาดการมีส่วนร่วมจากระดับล่าง ทำให้พันธะผูกพัน การเปลี่ยนแปลงมีน้อย


การจัดการความรู้ (Knowledge Management)

ในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ ฐานความรู้ถือเป็นทรัพย์สินที่มีความสำคัญขององค์การ การแข่งขันด้านธุรกิจต้องอาศัยความรู้ในด้านกระบวนการต่าง ๆ ดังนั้น ทฤษฎีการจัดการบางทฤษฎีจึงเชื่อว่า ทรัพย์สินทางความรู้มีความสำคัญต่อการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความอยู่รอดขององค์การมากกว่าทรัพย์สินทางกายภาพและทรัพย์สินทางการเงิน (Laudon, Laudon, 2002)
ความรู้  คือ สารสนเทศที่มีคุณค่ามากที่สุด เพราะเป็นสารสนเทศที่ผสมผสานเข้ากับประสบการณ์ วิจารณญาณ และปัญญาของคนเข้าไปด้วย
การจัดการความรู้ คือ กระบวนการที่สำคัญในการสร้าง จัดระบบ และถ่ายทอดความรู้อย่างทั่วถึงภายในองค์กร เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากขึ้น
องค์ประกอบของ Knowledge Management มีดังนี้
Ø การสร้างความรู้
Ø การจัดระบบความรู้
Ø การถ่ายทอดความรู้
การสร้างความรู้  คือ การแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร โดยผ่านกลไก การเรียนรู้ อาทิ การวิจัยและพัฒนา การร่วมกันแก้ไขปัญหา, การพัฒนาเครือข่าย, หรือการพัฒนาผ่านเครือข่ายเป็นต้น
การจัดระบบความรู้  เมื่อความรู้ได้สร้างขึ้นแล้ว จะมีกระบวนการต่อเนื่องในการจัดระบบความรู้ รวมถึงการแสดงความรู้ในลักษณะที่ง่ายต่อการเข้าถึงหรือถ่ายโอน
การถ่ายทอดความรู้  คือ การนำความรู้ที่มีอยู่ถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่น หรือหน่วยงานอื่น เช่นการใช้เครือข่ายในองค์กร หรือการใช้ซอร์ฟแวร์สำหรับทำงานเป็นกลุ่ม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น